Photo Gallery
จากเซนไดถึงไทยแลนด์ "วันนี้ช่างเป็นวันที่วุ่นวายเสียจริง ๆ!” ข้าพเจ้าบ่นพึมพำกับตัวเอง เพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้หยุดพัก ไปโน้นมานี่ เดินทางตลอดทั้งวันเลย แต่ที่ทำให้หัวเสียสุด ๆ ก็ตรงสภาพดินฟ้าอากาศบ้านเราที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก สักพักแดดออก ทำเอาจนร่างกายของข้าพเจ้าปรับอุณหภูมิไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่ที่กลัวมากกว่านั้นคือ ข่าวในทีวีที่เกิดสึนามิขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นข่าวที่น่าตกใจมากเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเรา แถมประเทศไทยก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กันมาแล้ว หรือว่านี่จะเป็นลางบอกเหตุ เป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ...ว่าใกล้ถึงวันที่โลกจะแตกแล้วจริง ๆ! แต่เราก็เป็นคนธรรมดาจะมีอำนาจอะไรที่จะไปหยุดยั้งภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ คิดจนหัวแตกตายก็คิดไม่ออก ทำได้แต่นั่งรอชะตากรรม หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ รอวันตายนั่นเอง เอาหละ อย่างมากก็ตายกันหมดทุกคน เฮ้อ...คิดได้อย่างนั้นแล้วข้าพเจ้าก็เผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เช้าวันเสาร์ช่างเป็นวันแสนสุข ได้นอนตื่นสาย ไม่ต้องรีบออกไปเบียดเสียดกับผู้คนล้านแปดในรถไฟฟ้า เพื่อที่จะได้ไปทำงานให้ทัน...นอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้ไม่นาน ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีนัดคุยเรื่องหนังสือกับหลวงพ่อธรรมงาม ตายหละหว่า! จะไปทันไหมเนี่ย... สักพักก็ได้ยินเสียงพี่สาวของข้าพเจ้าโหวกเหวก เรียกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวจะได้เดินทางไปหาหลวงพ่อ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงกุฏิหลวงพ่อ ท่านนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี “นมัสการค่ะหลวงพ่อ...” เราทั้งสองกราบหลวงพ่อพร้อม ๆ กัน “ต้นฉบับเป็นอย่างไร ไปถึงไหนแล้ว หทัยกาญจน์” หลวงพ่อกล่าวทักทาย “ใกล้เสร็จแล้วค่ะ วันนี้ดิฉันก็เอาตัวอย่างมาให้หลวงพ่อดูก่อน เผื่อว่าจะได้แก้ไข หรือเพิ่มเติมตรงไหนค่ะ” ข้าพเจ้าตอบ “แล้ววันนี้ขวัญฤทัยจะมาทำอะไรล่ะ” หลวงพ่อถามพี่สาวข้าพเจ้า เพราะเห็นว่าหิ้วถังสังฆทานมาด้วย พี่สาวข้าพเจ้าจึงตอบว่า “มาถวายสังฆทานค่ะหลวงพ่อ ช่วงนี้ดิฉันรู้สึกว่าดวงไม่ค่อยดี เผื่อว่าทำบุญแล้วจะทำให้อะไรดีขึ้น อย่างน้อยก็ได้สบายใจค่ะ” หลวงพ่อพูดทีเล่นทีจริงว่า...”เจ้าอยากให้อะไรดีขึ้นล่ะ ถ้าดีแล้วจะมีประโยชน์เหรอ เดี๋ยวโลกเราก็จะแตกแล้ว เมื่อวานได้ดูข่าวสึนามิถล่มญี่ปุ่นหรือเปล่าล่ะ” ข้าพเจ้าจึงรีบถามต่อ “จริงเหรอคะ...แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไร แล้วพวกเราจะตายกันหมดเลยหรือคะ” หลวงพ่อยิ้มไม่ตอบอะไร... พี่สาวข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า “หลวงพ่อคะ หรือโลกเราจะเป็นไปตามคำทำนายของนอสตราดามุสที่ว่า โลกนี้จะมีเรื่องร้าย ๆ ทั้งสงครามโลกครั้งที่สาม ทั้งภัยพิบัติต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นจริงไหมคะ?” “แปลกแต่จริง ในทางโลกมีคำทำนายเกิดขึ้นมากมายทั้งไทยทั้งฝรั่ง...เรื่องนี้คงต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่เขาทำนายกันไว้นั้นจริงหรือไม่? ไม่ใช่พอเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น แล้วค่อยนำมาขยายความกันยกใหญ่ว่าเข้ากับเรื่องที่คนนั้นคนนี้บอกไว้เลย...” หลวงพ่อกล่าวตอบพลางมองดูทั้งสองคน “แล้วหลวงพ่อพอจะบอกเหตุการณ์ อย่างเช่นภัยพิบัติต่าง ๆ ให้ทราบบ้างได้ไหมคะ?” ข้าพเจ้าถาม พวกเราจึงพยายามคะยั้นคะยอถามอยู่เป็นนาน จนท่านทนรำคาญไม่ไหว จึงยอมเล่าให้ฟังว่า...
เมื่อครั้งที่ท่านอาพาธเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีอยู่คืนหนึ่ง...ท่ามกลางความเงียบสงัด มีแต่เสียงลมหายใจ เข้า-ออก ทุกอย่างสงบนิ่ง ประมาณ ๓ นาฬิกา ได้เกิดสิ่งอัศจรรย์ใจ หลวงพ่อเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา ร่างกายกำยำใหญ่โต ผิวกายคล้ำ ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าเตี่ยวมีลายเชิงสีแดงคาดรัดเอว มีอาภรณ์ประดับที่ตัว สวมชฎาทรงเทริดอย่างไทยโบราณ และที่มือขวาถือไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ ขณะที่ท่านหลวงพ่อกำลังคิดว่าท่านผู้นี้เป็นใครกัน ก็มีเสียงแว่วขึ้นมาในหูว่า... “เราคือท้าวหิรัญพนาสูร (ฮู) เรามาเพื่อบอกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับมวลมนุษยชาติให้ทราบ และขอให้ท่านได้บอกแก่พวกเขาเหล่านั้นด้วยเทอญ" ท่านท้าวหิรัญพนาสูรได้กล่าวไว้ว่า "อีกไม่ช้าไม่นานนี้…ธรรมชาติจะให้บทเรียนสำคัญกับมนุษย์ทั้งหลาย” “ช้าก่อน อาตมาไม่เข้าใจ ว่าเหตุการณ์นั้นคืออะไรหรือ?” หลวงพ่อรีบถาม เพราะเกรงว่าพระองค์จะหายวับไป “ถึงเวลา ท่านจะเข้าใจเอง...” ท่านท้าวหิรัญพนาสูรกล่าวสั้น ๆ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มีการอันใดที่จะช่วยพวกเขาได้บ้างเล่า?” หลวงพ่อถามอีก “ดูก่อนท่าน เท็จจริงประการใด ท่านแล รู้แจ้งอยู่แก่ใจว่ามนุษย์ทั้งหลายรู้จักกตัญญู ฤา เนรคุณต่อธรรมชาติกันมากน้อยเพียงใด?” ท่านท้าวหิรัญพนาสูรตอบเชิงถาม “เหตุการณ์นี้ จะเกิดขึ้นที่ใดกัน? จะเลวร้ายสักเพียงใดหรือ?” หลวงพ่อถามต่อ “สุดที่จะประมาณได้ จะมีเสียงร่ำไห้สะท้านพิภพโลกา เปลวไฟโชติช่วงพร้อมเสียงดังกึกก้อง พระวายุ พระคงคา พระเพลิง พระธรณี จะมิปราณีต่อผู้ใด” ท่านท้าวหิรัญพนาสูรกล่าว “แล้วประเทศไทย..จะมีโอกาสรอดได้หรือไม่?” หลวงพ่อถาม “ครานี้เห็นทีจะยากยิ่ง ถึงเวลาแล้วท่านจักรู้แจ้งเอง” ท่านท้าวหิรัญพนาสูรกล่าว หลังจากนั้นหลวงพ่อได้พูดคุยกับท่านท้าวหิรัญพนาสูรต่อไปได้อีกสักครู่หนึ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ว่าแล้วหลังจากนั้น...ภาพท่านท้าวหิรัญพนาสูรก็ค่อย ๆ.. ลางเลือน...ไกลออกไป...และหายไปในที่สุด… หลังจากที่พวกเราทั้งสองคนได้ฟังเรื่องที่หลวงพ่อเล่าแล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก...ข้าพเจ้ารีบถามท่านต่อไปว่า... “แล้วภัยพิบัติที่ท่านท้าวหิรัญพนาสูร บอกกับหลวงพ่อคืออะไรหรือคะ” หลวงพ่อกล่าวขึ้นมาลอย ๆ ว่า “มนุษย์หนอมนุษย์ช่างอยากรู้กันไม่มีที่สิ้นสุด”หลวงพ่อคิดอยู่อึดใจหนึ่ง จึงถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ผลทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุ.. บางอย่างถ้ารอให้พวกเจ้ารู้เอง ก็เกรงว่าจะสายเกินแก้..” หลวงพ่อจึงเล่าเรื่องที่รับทราบจากที่ท่านท้าวหิรัญพนาสูรให้พวกเราฟังต่อ ใจความนั้นมีอยู่ว่า... กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะถูกน้ำท่วมอย่างหนัก เหตุมาจากน้ำทั่วทุกสารทิศ.. เหนือ ตะวันตก ตะวันออกน้ำทะเลหนุนสูง ภัยพิบัติจากน้ำหนักหนาเหลือจะกล่าว.. ส่วนในแนวตะวันตกแถบเทือกเขาตะนาวศรีจะมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเหลือประมาณ อีกทั้งมีภูเขาไฟใต้แผ่นดินที่ขยับเขยื้อนปะทุระเบิดขึ้นมาเสียงดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอาณาบริเวณได้ยินไกลหลายจังหวัด ที่กรุงเทพฯ ก็ได้ยินชัดเจนจนถึงพม่าที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย ด้วยความร้อนของลาวาที่พุ่งออกมา ทำให้เสียหายกันอย่างหนัก เขื่อนที่สำคัญที่อยู่ในกาญจนบุรีจะพังทลาย บ้านเรือนมากมายจะถูกกวาดกลืนไปกับสายน้ำเรื่อยลงมาจนถึงราชบุรีและกรุงเทพ ฯ มิใช่แต่แนวตะวันตก หลายแห่งที่มีภูเขาไฟซ่อนตัวอยู่จะเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันทั้งเหนือ กลาง อีสาน ไม่ว่าจะเป็นขอนแก่น กาฬสินธ์ บุรีรัมย์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ ต่างต้องเผชิญกับธรณีวิบัติ การระเบิดอย่างฉับพลันรุนแรง ความร้อนจากลาวาที่ไหลพุ่งออกมาจะสร้างความเสียหายทำลายชีวิตผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก เมื่อมีไฟและความร้อนมากมายเกิดขึ้นต่อไปก็จะมีพายุอันเกรี้ยวกราดนำน้ำมาดับไฟดับร้อน ท้องฟ้าจะคละคลุ้งไปด้วยกลุ่มควันและเมฆหมอกดำทะมึนจนมืดมิดชวนให้ะพรึงกลัว.. หลังจากนั้นฝนจะตกราวกับฟ้ารั่วทั่วอาณาเขตทั้งไทยและประเทศในอาเซียน รุนแรงจนเป็นพายุไซโคลนอันร้ายแรง กระหน่ำมาทางอ่าวไทยพุ่งหอบเอาน้ำที่สูงราวกับภูเขาถาโถมเข้าเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตึกสูงระฟ้าหรือเขตบ้านเรือนริมน้ำจะไม่พ้นชะตากรรมนี้ ทุกอย่างจะถูกกวาดราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนจะล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก ส่วนจังหวัดติดทะเลอย่างสมุทรปราการ จะมีเหตุอันตรธารหายไปหลายพื้นที่ ผลจากพายุที่รุนแรงและน้ำจำนวนมโหฬารที่ถาโถมเข้ามาและน้ำทะเลที่หนุนสูงผิดปกติ...ชลบุรี จะถูกคลื่นยักษ์ถาโถมเช่นกัน น้ำจะมากแต่ไม่ท่วมถาวร สถานที่สำคัญหลายแห่งในละแวกนี้จะได้รับผลกระทบเสียหายอย่างหนัก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่นวัดหลวงพ่อโสธรแห่งฉะเชิงเทรา จะถูกน้ำที่ท่วมสูงเอ่อสองฟากฝั่งของแม่น้ำบางปะกง เข้าท่วมจนถึงฐานหลวงพ่อโสธร หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ย่าโมแห่งนครราชสีมายังถูกน้ำท่วมถึงฐานได้ จากภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์... ยังมีอีกหลายพื้นที่ อย่างเช่นแถว ๆ ธนบุรี-ปากท่อ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม แปดริ้ว ระยอง จันทบุรี วังน้ำเย็น จนถึงสระแก้ว เรื่อยไปจนเหนือเขื่อนเขาแหลมตะวันตก กาญจน์ บ้านร่มเกล้าพิษณุโลก อุตรดิตถ์ที่ติดกับลาว น่าน และแม่ฮ่องสอนเขตตะวันออกตอนล่างบ้านสบเมย จนถึงอีสานอย่าง นครพนม อุบลฯ มุกดาหาร สกลนคร เลย หนองคาย อำนาจเจริญ ที่เขาว่าจะเป็นชายทะเลนั้นก็ไม่เกินจริง ส่วนภาคใต้ แผ่นดินจะมีปัญหาสาหัสเช่นกัน พื้นที่หลัก ๆ ที่ยังคงอยู่ คือ บริเวณตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของชุมพร ท่าแซะ ระนองตอนบนของนครศรีธรรมราช ขนอม ฝั่งตะวันตกด้านบนอำเภอพนม บ้านนาเดิม อีกส่วนหนึ่ง คือ กระบี่ นครศรีธรรมราช ที่ติดต่อกับกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบูล ชะอวด ตรังตะวันออก ส่วนดินแดนที่จะมีเขตติดต่อกับทะเลได้แก่ ชุมพรด้านใน ท่าแซะ ประจวบคีรีขันธ์ตอนล่าง ถนนเพชรเกษม และตลอดแนวของฝั่งตะวันออก สงขลาตะวันตก ยะลาตะวันออก หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน อีกทั้งส่วนที่ติดกับสุราษฎร์ธานี จนถึงกระบี่…มีหลายแห่งที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะแห่งใหม่ เช่น เกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะหัวหิน ชุมพร …บริเวณที่หายสาบสูญไปอย่างถาวร คือ นราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสุรินทร์ สิมิรัน หมู่เกาะทะเลตรัง เกาะสมุย เกาะพงัน หมู่เกาะอ่างทอง ตะรุเตา ตราด เกาะช้าง หมู่เกาะทะเลตราด ที่ชะอำส่วนที่เหลือบางส่วนจะกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย…วัดช้างให้ที่ปัตตานีแม้ว่าจะเจอน้ำจากพายุกระหน่ำฝนตกหนักมากนั้นจะปลอดภัยจากปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ทวด จังหวัดที่ติดกับทะเลหรือใกล้เคียงรวมทั้งหมู่เกาะต่าง ๆ ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวใต้ทะเลทั้งใกล้และไกล จนเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมซัดกระหน่ำจมหายไปทั้งเกาะในชั่วพริบตา หรือน้ำท่วมสูงและค่อย ๆ จมหายไป หลายเกาะแก่งจะหายไปจากแผนที่โลก บ้างก็เหลือเพียงบางส่วน กระจัดกระจาย... ไม่ต้องพูดถึงเสียงร่ำไห้ที่มีอยู่ทั่วแผ่นดิน ซากศพจะกลาดเกลื่อน หาพบบ้างไม่พบบ้าง บ้างก็ตายยกครัว บ้างก็รอดอยู่คนสองคน ความเจริญจะถอยหลัง เครือข่ายต่าง ๆ ทั่วโลกจะปั่นป่วน ไร้ผล ยากจะเยียวยา เลยทีเดียว” “ดิฉันคิดว่าคงไม่ใช่แค่นี้แน่หลวงพ่อ ใช่ไหมคะ?” ข้าพเจ้าถาม "ใช่ จะเกิดที่เดียวประเทศเดียวนั้น...มันดูเล็กน้อยเกินไป หากแต่จะเกิด...ทั่วโลก" แล้วหลวงพ่อก็เล่าต่อ..."ประเทศน้อยใหญ่บ้านใกล้เรือนเคียงหรือเพื่อนร่วมทวีป อย่างสิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ เกาะน้อยใหญ่ของอินโดนีเซีย จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลบ้าง สึนามิบ้าง พายุไซโคลนบ้าง จนแทบหมด เหลือก็นิด ๆ หน่อย ๆ...ห่างออกไปอย่างฮ่องกง ไต้หวัน หรือญี่ปุ่น ประเทศที่ผู้คนต้องอยู่ต่อสู้กับภัยธรรมชาติ อย่างแผ่นดินไหวอย่างแผ่นดินไหวกับสึนามิก็จะไม่มีอีกต่อไป เนื่องจากถูกคลื่นยักษ์ซัดถาโถมจมหายไป จะเหลือบ้างก็คือเกาลูนกับจีนบางส่วนและมาเก๊าอีกเล็กน้อย เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะเกิดน้ำท่วมอย่างหนักแผ่นดินจะถูกทะเลกลืนเข้าไป แผ่นดินด้านตะวันออกจะหายไป เกาหลีใต้ก็ไม่เหลือ ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ก็เจอหนักเหมือนกับไทย.. ใกล้ทะเลก็จะเจอพายุ อยู่ในแผ่นดินก็เจอแผ่นดินไหวพายุฝนกระหน่ำ จนสาหัสพอ ๆ กัน" “ทางขั้วโลกใต้ล่ะคะ” ข้าพเจ้าถามอีก ยุโรปแถบทางเหนือจะเจอพายุความหนาวเหน็บอย่างที่ไม่เคยเป็น น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือมีปัญหาที่สะสมมายาวนานที่เรารู้กันดีก็คือจากสภาวะโลกร้อน ทำให้หลายประเทศในยุโรปเจอทั้งหนาวเจอทั้งพายุกระหน่ำฝนตกอย่างไม่ลืมหูลืมตานานหลายวัน เกาะอังกฤษ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์ และประเทศขอบทวีปจะถูกพายุกระหน่ำจนพื้นดินทรุดหายไป ตุรกีเจอธรณีพิโรธอย่างรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในครั้งใด ๆ ยุโรปตะวันออกและรัสเซียต้องเผชิญกับภัยพิบัติเช่นกันทั้งแผ่นดินไหว ฝนตกหนักอย่างยาวนานจนน้ำท่วมแต่ไม่ถาวร ทวีปดั้งเดิมอย่างแอฟริกากับเอเชียตะวันตกและใต้ แผ่นดินจะเคลื่อนตัวจนกลายเป็นแผ่นดินเดียวกัน ประเทศริมทวีปที่ติดกับทะเลหรือมหาสมุทรจะได้รับผลกระทบจากกคลื่นยักษ์และพายุหนัก จากแห้งแล้งจะมีหิมะพร้อมฝนเม็ดใหญ่เท่าลูกเห็บตกกระหน่ำอย่างรุนแรงและยาวนาน จนหลายพื้นที่ทรุดหายไป ศรีลังกาแห่งชมพูทวีปจะไม่ปรากฏในแผนที่โลก ลองคิดดูแล้วความเสียหายต่อมนุษยโลกจะมากมายขนาดไหน จะตายกันกี่แสนกี่ล้านคนกันล่ะนี่ ..นี่ยังไม่รวมสัตว์น้อยใหญ่อีก” พี่สาวข้าพเจ้าสงสัยจึงเอ่ยถามว่า “หมดโลกแล้วหรือยังคะหลวงพ่อ?...ดูท่าทางแล้วคงไม่รอดแน่ งานนี้” หลังจากที่เราสองพี่น้องได้ครุ่นคิดกับปัญหานี้อยู่นานเกือบสัปดาห์ ก็ตกลงกันว่าพรุ่งนี้พวกเราจะไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า.. “ลำพังจะกินผักกินหญ้า ก็หายาก สัตว์น้อยใหญ่ก็ตายไปมากแล้ว โรคระบาดร้ายแรงในอดีตจะกลับมาอีกครั้ง น้ำจะเน่าเสีย เชื้อโรคจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มนุษย์ที่เหลือจะอยู่กันอย่างลำบาก แต่ในความร้ายแรงนั้นจะทำให้มนุษย์มีความเห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกันอย่างสุดความสามารถ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ถ้ารอดก็รอดด้วยกัน อะไรทำนองนั้น แต่บางแห่งมนุษย์นั้นจะเข่นฆ่ากันเอง เพราะไม่มีอาหารที่จะกินกันได้เลยจึงต้องทำเช่นนั้น” - - เนื่องจากข้าพเจ้าเคยได้ยินได้ฟังเรื่องโลกจะแตกบ้าง เรื่องมหันตภัยบ้าง จึงอดถามหลวงพ่อต่อไม่ได้ว่า “ลางบอกเหตุของเหตุร้ายต่าง ๆ นี้คืออะไร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด กึ่งพุทธกาลจริงหรือไม่คะ?” หลวงพ่อขยายความให้ฟังว่าก่อนจะเกิดมหันตภัยต่าง ๆ นี้ จะมีสงครามใหญ่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ดูแล้วอาจจะเป็นได้ทั้งทางคาบสมุทรเกาหลีหรือไม่ก็ทางอาหรับ พวกเขาจะใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งก็คงไม่พ้นนิวเคลียร์นั่นเองที่เป็นเหตุให้บางแห่งมนุษย์ต้องกินกันเอง เพราะสัตว์และพืชต่างก็ถูกกัมมันตภาพรังสีของอาวุธดังกล่าวเช่นกัน ถ้ากินเข้าไปย่อมตายกันหมด -- หลังจากที่สนทนาธรรมและเรื่องทั่วไป และเรื่องต้นฉบับหนังสือกับหลวงพ่อได้สักพักใหญ่ ข้าพเจ้าและพี่สาวจึงกราบนมัสการลาหลวงพ่อ
![]() |